Medical conspiracy

Healthcare is business.

Hippocratic oath vs. Hypocritical oath       Medical industry/business vs.  Medical practice

Hippocrates oath vs. Hypocrite oath   Conventional western medicine vs.  Holistic therapy

We are just a healthcare provider.... not a doctor anymore.

We've known this subtle conspiracy for years. 

Diabetes mellitus     Hypertension    Dyslipidemia

Coronary disease and its drugs & interventions

Selective COX2 inhibitors       HCV infection

Premenstrual dysphoric disorder     ADHD

HPV infection : Gardasil

(HPV quadrivalent type 6, 11, 16, 18 vaccine recombinant)

surely prevents pre-exposure infection from certain types of HPV 16, 18

which are associated with cervical cancer.

The benefit of the vaccine has been the subject of 

public health service controversy regarding the clinical cost-effectiveness, long-term impact etc.

It's all about the money.

Do the patients or the government seem to care of how sufferred we are 

in this subtle conspiracy and dam.ned socialized healthcare system? 

 

Do they give a shit AT ALL of this strain/pressure of us practicing medicine? 

Are we putting up with this shit? 

No, we are not and we don't care if this corrupted healthcare system is going to collapse or not.

 

We just go with the flow... 

We are not millionaires and 

do not have a strong professional integrity.

We are in this healthcare providing system just because 

we want to own a lake house in Sweden and 

have a million dollars to invest in a stock market and mutual funds.

Healthcare system is collapsing and healthcare industry is all about the money.

 

This is the turning point for the healthcare profession. 

 

The medical profession will be questioned and challenged 

for the next couple of decades until it's starting to get into the equilibrium 

or it might just go straight into the light!!! 

 

Does ANYBODY follow the Hippocratic oath? 

 Shouldn't it become the Hypocritical oath in this modern-day medicine? 

 

I no longer have faith in neither Hippocrates nor medical practice anymore.

Only the strongest will survive.

It might sound shallow, capitalistic and kinda extreme liberal but 

what else we can do with the Free National Universal Health insurance in Thailand.

Decapitate OBGYN docs

"Decapitation : Death penalty for Thai OBGYN on malpractice, 

govt Universal Health insurance collapsed"

สำหรับปัญหาเรื่องการฟ้องร้องแพทย์

เราคงต้องรอให้ระบบมันล่มก่อน >>> คนทั่วไปถึงจะรับรู้ปัญหา 

 

เพื่อนๆควรรีบลาออกกันเยอะๆแล้วไปต่อเมืองนอกหรือไปทำอาชีพอื่นดีกว่า 

ตอนนี้ น่าเห็นใจทั้งสองฝ่ายเลย ทั้งคนไข้และแพทย์

ตอนนี้ใครเรียนGenSurgกับสูติถือว่าเสียสละอย่างมาก โดยเฉพาะสูติ 

เพราะต้องพูดเยอะ

อยู่เวรเหนื่อย(คิดดูหมอสูติผู้หญิงบางคนอายุ 50 ที่รพท ยังต้องอยู่เวรเลย)

หัตถการก็เสี่ยง

(โดยเฉพาะOB pt ที่ความคาดหวังคือ maternal mortality rate = 0% 

& infant mortality rate = 0%)

 

case OB malpractice ที่วชิระภูเก็ต ถูกฟ้อง 5 ล้านบาท

(ทำหมันคนไข้HIVโดยไม่ขอ informed consent) 

ไม่ว่าหมอสูติคนนี้จะผิดหรือไม่ก็ตาม   

แต่ตอนนี้คงนอนกลุ้มใจทุกคืนแน่ 

 

สมมติว่า case เนี้ยเป็นmalpracticeจริง 

ต่อให้หมอมีญาติเป็นเจ้าของโรงแรม ครอบครัวมีเงินมาก 

การโดนฟ้อง 5 ล้านบาท+ดอกเบี้ย ก็ถือว่าเยอะเกินไป 

(ก็รู้ว่าความเสียหายทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นมันประเมินเป็นราคาไม่ได้) 

  

แค่กลุ้มใจนอนไม่หลับ เครียด ก็มากพอแล้ว

 

หรือต้องกำหนดโทษว่าถ้าเกิด medical malpractice 

>>> ควรตัดหัวเสียบประจานที่สุวรรณภูมิเลยน่าจะดี 

เผื่อว่าเครือข่ายฯจะพอใจและระบบบริการสุขภาพจะดีขึ้น 

ประกาศข่าวออกไปทั่วโลกเลยว่า 

"Decapitation : Death penalty for Thai OBGYN on malpractice, 

govt Universal Health insurance collapsed" 

  

การยอมรับผิดและกล่าวขอโทษเท่านั้นน่าจะเพียงพอ 

ไม่ควรเรียกร้องเงินเพราะแพทย์ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความผิดพลาด 

(แต่การให้เงินชดเชยเนี้ยให้ได้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ญาติ)

อีกไม่นานเมืองไทยเจอกับปัญหาขาดแคลนหมอสูติ-นรีเวช 

Universal coverage

The following are some inconvenient truths about 

Thailand universal Healthcare coverage.

ปัจจุบันสปสช.(โครงการ 30บาท) เป็นที่พึ่งของคนยากจน

ที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์

คนไทยโชคดีที่รัฐให้บริการด้านสุขภาพฟรีทุกคน

สปสช. ช่วยเหลือคนไข้ HIV และ ESRDได้มาก

สปสช. ให้บริการทางการแพทย์ 24 ชม. 7 วัน คนไข้ไม่ต้องต่อคิวยาวเป็นเดือนเหมือนเมืองนอก

คนไข้ในกลุ่ม COPD / CLD / CKD ก็ได้รับประโยชน์มาก

จะมารักษาเมื่อไหร่ก็ได้ 24 ชม. ไม่ต้องจ่ายเงิน, 

คนไข้สามารถเก็บเงินตัวเองเอาไปซื้อเหล้า บุหรี่ ได้อีกด้วย

คนไข้ HIV เกือบครบ 1,000,000 แล้ว >>> สสส. สปสช. ???

คนไข้ HIV ที่มาขึ้นทะเบียนกับ สปสช. = 150,000 คน >>> คนไข้HIV ได้งบแยกจากงบรายหัว

งบต่อหัวปี 2552 = 2,217 บาท/คน/ปี จากเดิมที่กระทรวงคลังลดลงเหลือ 2,100 บาท/คน/ปี

งบHIV 2,000 ล้านบาท

งบESRD 1,500 ล้านบาท

งบประมาณบริหารจัดการสปสช. 900 ล้านบาท

^^

^^

รอเข้าที่ประชุม ครม.ในวันที่ 17 มิ.ย.นี้

คร่าวๆ ประชากรในโครงการ   47,000,000 คน

งบต่อหัวประมาณ 2,200 บาท/ปี

งบปี 2552 ของ สปสช. ประมาณ   110,000 ล้านบาท

Socialized medicine is efficient and good but not for Thai.

Thai are not ready for socialized medicine.

pls visit  http://www.thaiclinic.com/doctorroom.html for more information.

Thailand HSS is DOA

Crowded ER

Thailand health service system is death-on-arrival.

This country's already been short of doctors

and socialized medicine will only 

worsen the healthcare system problems.

I certainly would not recommend 

medicine to anyone as a career.

ER's always been crowded with people who greedily want an unnecessary medications and admissions.

As a matter of fact, half of those people don't need to be there, and the more free it is the more showing up.

I have had many people telling me they don't bother to think of an OTC symptomatic treatment in the first day of a febrile illness and go to the ER for an AFI-day1 problem.

Thai people have a universal Healthcare coverage. Take a look at the USA.

In Thailand, healthcare services are  free..... as a "free" with no co-payment AT ALL!!!!!!

This will certainly lead to an exploitation of a limited healthcare resources.

We have been desperately trying to overhaul our healthcare service system,

but nothing seems to be working out.

Rectal exam

มีคนเคยถาม : ทำไมเวลาหมอสงสัยว่าคนไข้เป็นไส้ติ่งอักเสบ

แล้วต้องใช้นิ้วตรวจก้นด้วย

การใช้นิ้วตรวจทวารหนักเรียกเป็นภาษาทางการแพทย์ว่า 

DRE (Digital rectal examination) ครับ

หรือทั่วไปหมอก็จะพูดว่าพีอาร์(PR = per rectum)

คือ การใช้นิ้วชี้ใส่เข้าไปในrectum(ไส้ตรง)โดยผ่าน

anus(รูทวารหนัก)

เป็นวิธีการตรวจร่างกาย(physical examinations)

ที่ไม่ใช่แค่การตรวจดูต่อมลูกหมากเท่านั้นครับ

หรือถ้าเป็นเมืองนอก..หมออาจจะพูดกันเองว่า

"do the rectal" หมายถึง "do the rectal exam"

DRE = PR = Rectal exam

คนไข้ที่สงสัยว่าจะมี surgical conditions(ภาะโรคทางศัลยกรรม)

ส่วนใหญ่มักเคยถูกตรวจ PR

ส่วนการตรวจภายในของหมอสูตินรีเวชนั้นเรียกว่า พีวี (PV = per vagina)

โดยวิธีการ(คร่าวๆ) คือ จะเริ่มจากการใช้นิ้วชี้ค่อยๆขยายanusเพื่อให้ผู้ป่วยไม่เจ็บมากโดยจะใช้เวลาสักประมาณครึ่งนาที แล้วจึงค่อยthrustนิ้วชี้เข้าไปในrectum เพื่อตรวจอวัยวะที่อยู่ในอุ้งเชิงกราน(pelvis)

การตรวจ DRE บอกอะไรได้มากกว่าการดูต่อมลูกหมากครับ

ตัวอย่าง clinical manifestations ที่มักถูกตรวจ PR

1. สงสัยภาวะต่อมลูกหมากโต(Benign prostatic hyperplasia หรือ BPH)/

ภาวะต่อมลูกหมากอักเสบ(Prostatitis)

2. สงสัยไส้ติ่งอักเสบ 

ไส้ติ่งของคนเราในทางกายวิภาค จะมีหลายแบบ(anatomical variations) 

โดยแบบที่ไส้ติ่งไปอยู่ด้านหลังของลำไส้ใหญ่ส่วนต้น(cecum)

จะเรียกว่า "retrocecal type" ถ้าหากมีการอักเสบมักจะตรวจร่างกาย

ทางหน้าท้องไม่เจอการกดเจ็บหรือที่เรียกว่า abdominal tenderness/rebound tenderness 

การตรวจPRอาจจะสามารถตรวจเจอได้

3. คนไข้ที่มาด้วยปัญหาถ่ายเป็นเลือด(hematochezia) หรือ

LGIB(lower GI bleeding) แล้วสงสัยว่าจะมีเนื้องอกที่ไส้ตรง(rectum)

4. ผู้ป่วยอุบัติเหตุที่สงสัยว่ามี การบาดเจ็บของไขสันหลัง

5. การตรวจ PV + PR ใน case : Cervical cancer(มะเร็งปากมดลูก) 

เพื่อทำ clinical staging(บอกระยะของมะเร็ง)