เจอบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
แค่อยากเล่าให้ฟังเฉยๆครับ
อยากให้สังคมรับรู้กันมากขึ้น
เด็กหนุ่มเรียนอยู่มหาลัยเอกชน ขาวตี๋ หน้าตาดี BMI ประมาณ24 มากับอาหมวย สวย แต่งตัวดี
CC : ปัสสาวะแสบ + มีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ 1 วัน
ไม่มีไข้, ไม่มีผื่นตามตัว, ไม่ปวดข้อ, ไม่มีตาแดง, ไม่เจ็บคอ
แค่นี้ พี่น้องคงรู้แล้วว่า clinical course จะเป็นไงต่อไป
ให้ cef3 1 g IM และนัดF/U เพื่อดูclinical progress และ ฟังผล anti-HIV (ทำpretest counselingก่อน)
แนะนำsexual abstinenceไปก่อน2wks
hxเพิ่มเติม ผู้ป่วยยอมรับว่า promiscuous ทั้งจากที่เที่ยวกลางคืน และจากในมหาลัย
ดูท่าทางแล้วถ้าไปเที่ยวกลางคืน อยากได้คนไหน คนนั้นคงเสร็จทุกราย เพราะผู้ป่วยก็หน้าตาดี และผู้หญิงเที่ยวไม่น้อยก็หวังแค่one night standเหมือนกับผู้ชาย(ผมไม่ได้หมายถึงผู้หญิงทุกคนนะครับ บางคนเท่านั้น)
ผมถามว่าทำไมถึงไม่ใช้ถุงยาง
ผู้ป่วยบอกว่า ก็เห็นว่าคู่นอนไม่ได้มีตุ่ม ตัวไม่ผอมก็ไม่น่าใช่AIDS เลยไม่ใช้ถุงยาง
(นอกจาก AIDS มันยังมี STD อื่นอีกเพียบ)
คู่นอนส่วนใหญ่มาจากที่เที่ยวมากกว่าที่มหาลัย
ผู้ป่วยคิดว่า oral sex ไม่ทำให้ติด HIV
อีกสองวัน ไม่มีหนองแล้ว ปัสสาวะปกติ แต่เริ่มมีclinical signs & symptoms ของ Reiter's syndrome
และผล anti-HIV +ve
วินาทีที่บอกผล anti-HIV ผู้ป่วยน้ำตาซึม ไม่รู้จะสงสารดีหรือเปล่า
ทำpost-test counseling ให้ผู้ป่วยพยายามคุยและบอกแฟนเอง ว่าตนเป็นโรคอะไร และพาแฟนไปตรวจAnti-HIVเอง
คิดดูว่าจะมีเด็กสาวกี่คนที่มหาลัยเอกชนนี้ ติดHIV หรือ GC จากผู้ป่วยรายนี้
พ่อแม่ของผู้ป่วยรายนี้จะเป็นยังไงต่อไป(ถ้ารวยก็แล้วไปไม่ต้องรอให้ลูกมาเลี้ยง)
ผู้หญิงกลางคืนอีกเพียบที่อาจติดHIVจากผู้ป่วยรายนี้
ต้องเอาเงินภาษีของคนไทยไปซื้อARVให้คนกลุ่มนี้ที่ไม่รับผิดชอบตัวเอง(ไม่ได้หมายถึงผู้ป่วยAIDSทุกคนนะครับ)
ต้องมีหมอเวรไปดูเค้าเวลาเป็น PCP O2 sat drops ใส่tube, เจาะเลือด, LP อีกกี่ครั้ง
ทรัพยากรที่มหาลัย, โรงเรียนประถม มัธยม เสียให้เค้าไปกี่แสนบาท
ความเสียหายทางเศรษฐกิจเสียไปแค่ไหนจากการที่กลุ่มคนที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ต้องมาเป็นเอดส์
แฟนของผู้ป่วยจะทำไงต่อไปถ้าติดHIV
อยู่โรงพยาบาลรัฐ มีแต่คนไข้ที่ไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง หวังแต่จะมารักษาตอนที่เป็นโรคแล้ว
ดูแลสุขภาพเบื้องต้น : ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ขับMC และ safe sex
เมืองไทยมันจะมีอะไรดีๆขึ้นบ้าง
กินเหล้า สูบบุหรี่ ขับมอไซ ไม่ใช้ถุงยาง เบาหวาน ความดัน
สสส คงช่วยได้ไม่มาก
No comments:
Post a Comment